รางวัลโนเบลสาขาสรีศาสตร์ หรือการแพทย์ ประจำปี 2013 มอบให้แก่ เจมส์ อี รอธแมน (James E. Rothman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐฯแรนดี เชคมาน (Randy Schekman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ และ โทมัส ซุดฮอฟ(Thomas Sudhof)ชาวเยอรมันจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในพาโลอัลโต (Stanford University, Palo Alto) “สำหรับการค้นพบของพวกเขา, รอธแมน, เชคมาน และซุดฮอฟ ได้เผยถึงระบบควบคุมที่แม่นยำอย่างยอดเยี่ยมในการขนส่งและนำส่งสิ่งของระดับเซลล์”คำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลจากสมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสกา (The Nobel Assembly at the Karolinska Institute) ระบุ ทั้งสามคนได้ไขความลึกลับว่าเซลล์นั้นจัดการระบบนำส่งของเซลล์อย่างไร โดยแต่ละเซลล์คือโรงงานที่ผลิตและส่งออกโมเลกุล และโมเลกุลเหล่านั้นจะถูกขนส่งไปรอบเซลล์ภายในถุงเล็กๆ ที่เรียกว่า “เวสิเคิล” (vesicles) ซึ่งพวกเขาได้ค้นพบหลักการระดับโมเลกุลที่ควบคุมวิธีนำส่งของถุงโดยสารดังกล่าวให้ไปถึงถูกที่และถูกเวลาภายในเซลล์ รอยเตอร์ได้รายงานคำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบล ซึ่งยกตัวอย่างประโยชน์ของผลงานที่เป็นงานวิจัยพื้นฐานว่า งานวิจัยดังกล่าวได้ฉายให้เห็นว่า อินซูลินถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และปล่อยไปตามกระแสเลือดได้ที่ถูกที่ถูกเวลาได้อย่างไร “การค้นพบที่สวยงามนี้มีความสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจต่อร่างกายมนุษย์ และมีนัยสำคัญต่อหลาย โรคในอวัยวะต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่น ระบบประสาท โรคเบาหวาน และภูมิคุ้มกันบกพร่อง” เจน-อิงก์ เฮนเตอร์ (Jan-Inge Henter) ศาสตราจารย์ระดับคลีนิคด้านเนื้องอกวิทยาในเด็ก จากสถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institute) กล่าวระหว่างแถลงข่าว ทั้งสามคนจะแบ่งเงินรางวัล 8 ล้านโครน หรือประมาณ 37.5 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยมอบรางวัลเป็นมูลค่า 10 ล้านโครนมาตั้งแต่ปี 2001 เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยการมอบรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1901 ตามพินัยกรรมของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) ผู้ประดิษฐ์ระเบิดไดนาไมต์สำหรับกิจการเหมืองและเป็นนักธุรกิจ โดยพระราชพิธีพระราชทานรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค.ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบล | ||||
| ||||
| ||||
|
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556
มอบโนเบลแพทย์ให้ 3 ผู้ค้นพบกลไกนำส่งระดับเซลล์ที่แม่นยำ
5 อาหารหมดอายุที่ยังกินได้
![]() |
|
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เรื่องแปลกแต่จริง (ทางวิทยาศาสตร์)
เรื่องแปลกแต่จริง (ทางวิทยาศาสตร์)

พอกลิ่น หอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงาน เราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว

ใน กระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้ แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน

พวก เราเคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมครับ สาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ ยินเสียงท้องร้อง

เมื่อ เราตกใจหน้าจะซีด เนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉิน คือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่น เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจ เมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด

เมื่อ เรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ เพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่า เปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัว หน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ

เชื่อหรือไม่ครับว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ทดลอง ชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับ น้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันที พบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย

น้องๆ เคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยัง สามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้า ศึกอยู่ได้ พวกเขาไม่เจ็บกันหรือ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วครับว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้

รู้ หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอกครับ แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4-5 เดือน ตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะครับ

ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม เชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปี ก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้น และดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้น เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน

เชื่อ หรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัว มีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม

การ นอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้ เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัว ทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตร แต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม

ร่าง กายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน

สิ่ง ที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือ หายใจและกลืนอาหารไปพร้อมๆ กัน เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่าน เข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร
8 ผลไม้กินแล้วผิวขาว
8 ผลไม้กินแล้วผิวขาว

คงไม่มีสูตรลับผิวขาวไหนที่จะให้ประสิทธิภาพได้ดีเท่ากับการบำรุงจากภายใน และการกินอาหารอย่างผักผลไม้ก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ดีที่สุดเช่นกัน สำหรับผลไม้ที่สาวๆ กินแล้วผิวขาวนั้น หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง หากที่แน่ๆ ผลไม้ที่ประกอบด้วยวิตามินซีนั่นแหละที่จะทำให้ผิวสาวๆ ขาวกระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วผลไม้ที่ทำให้ผิวขาวเหล่านั้นมีอะไรบ้าง สาวๆ หลายคนอยากรู้กันแล้ว ถ้าเช่นนั้น ตามมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ ครีมหน้าใส
1.มะนาว เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผลกลมเล็กๆ อย่างมะนาวประสิทธิภาพไม่ได้เล็กน้อยเลย เพราะประกอบด้วยวิตามินซีสูงช่วยให้ผิวขาวใสได้อย่างมาก
1.มะนาว เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผลกลมเล็กๆ อย่างมะนาวประสิทธิภาพไม่ได้เล็กน้อยเลย เพราะประกอบด้วยวิตามินซีสูงช่วยให้ผิวขาวใสได้อย่างมาก
2.ส้ม ส้มนั้นมีคุณประโยชน์ต่อผิวมากมาย ช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับผิวได้ ทำให้ผิวของคุณอ่อนเยาว์เปล่งปลั่ง กระจ่างใส
3.มะเขือเทศ ป้องกันปัญหาริ้วรอยแห่งวัย ชะลอวัยของคุณให้เป็นสาวผิวสวย คงความอ่อนเยาว์ไว้อย่างเนิ่นนาน
4.ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่ประกอบด้วยวิตามินซีสูงมากทีเดียว และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี
5.แอปเปิ้ล ราชาผลไม้อย่างแอปเปิ้ล อุดมด้วยเพคตินช่วยให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย
6.มะละกอ ใครที่มีปัญหาท้องผูกมักทำให้ผิวไม่ขาวใส หม่นหมอง ดังนั้น หากกินมะละกอรับรองไร้ปัญหาท้องผูกมากวนใจ เผยผิวขาวใสได้อย่างแน่นอน ครีมหน้าใส
7.กล้วยหอม เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หากทานตอนเช้าจะยิ่งดีมากๆ ทำให้อิ่มท้องนานด้วย
8.แตงโม ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส เปล่งปลั่ง ทำหน้าที่ล้างไต ขับสารพิษได้ และช่วยขับปัสสาวะ ไม่ทำให้เกิดโรคในทางเดินปัสสาวะ
เห็นประโยชน์ดีๆ จากเหล่าผลไม้ทั้ง 8 ชนิดแล้วใช่มั้ยคะ ได้ทั้งผิวขาวใสมาพร้อมสุขภาพดีๆ อีกต่างหาก แบบนี้แล้วไม่ให้เลือกกินผลไม้เหล่านี้ได้อย่างไรไหวจริงมั้ย
มารูจักจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย
จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน
บึงกาฬ เป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ผลการพิจารณา
เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ...
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย
อำเภอเมืองบึงกาฬ
อำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก
ประวัติ
เดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.สัดส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ
สถานที่ท่องเที่ยว
ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า อำเภอเซกา และอำเภอบึงโขงหลง มีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง
สภาพทั่วไป
ภูทอก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว
วัดสว่างอารมณ์
บึงโขงหลง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)